ประสบการ์ณสมัคร Top MBA Cambridge, Tepper, UCLA

MBA Cambridge
MBA Cambridge

น้องๆ ที่อยากสมัครเรียน MBA เรียนต่อต่างประเทศใน Top Universities วันนี้ Top U JumpStart มีแขกรับเชิญพิเศษ พี่ใบตอง ที่ได้รับการตอบรับจาก Top U ระดับโลก ทั้ง Cambridge, Tepper และ UCLA พี่ใบตองจะมาแชร์ประสบการณ์และเคล็ดลับที่ทำให้ติด Top MBA ระดับโลก มาร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Q1: น้องใบตองช่วยแนะนำตัวเองหน่อยค่า?
P’Baitong: สวัสดีค่ะ ชื่อใบตองค่ะ ตอนนี้เป็นที่ปรึกษาด้านภาษีอากรอยู่ที่ EY จบบัญชีจุฬา ตอนเรียนจบเคยทำเป็น Auditor อยู่ที่ EY อยู่ประมาณ 2 ปีแล้วก็ย้ายมาทำเป็นที่ปรึกษาภาษีประมาณ 3 ปีแล้วค่ะ แต่ว่าทีนี้มีความสนใจในด้าน detail มีความอยากเปลี่ยนสายงาน เพราะเราทำด้าน accounting กับ tax ก็เลยอยากจะเรียนต่อ MBA ค่ะ

Q2: จุดไหนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเรียนต่อ?
P’Baitong:
ประสบการณ์ทำงาน 5 ปี เป็นที่ปรึกษาภาษี 3 ปีและมีความชอบด้าน fashion detail มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แล้วก็มีพี่สาวที่เรียนจบด้านนี้ก็เลยมีแบบคุยๆ กันก็เลยรู้สึกอยากเรียนต่อ เพราะ MBA ช่วยเปิดโอกาสให้เราได้เห็นมุมมองของ business ในด้านอื่นๆ เพราะตอนนี้เรารู้แค่ด้าน accounting และด้านภาษีซึ่งมันจะทำให้เราได้เจอเพื่อนๆ ที่มี educational background ที่แตกต่างกันและเปิด option ในการสมัครสายงานที่เราชอบค่ะ

Q3: คำนิยามของตัวเอง
P’Baitong: ขยันค่ะ เพราะเวลาทำอะไรจะเต็มที่มากๆ ตั้งแต่ตอนเรียน ป. ตรี ตอนนั้นตั้งใจเรียนมากเพราะว่ามันจะมีผลกับเราในระยะยาว ตอนที่ทำงานก็มีความมมุ่งมั่นในการทำงานพยายามทำงานให้ตอบโจทย์ลูกค้า เพราะมันช่วยให้เราสามารถต่อยอดงานในอนาคตได้ค่ะ

Q4: แล้วมี Hobby อะไรบ้างไหม?
P’Baitong:
ชอบเล่น E-sport moba games มากๆ พวก ROV ค่ะ ซึ่งช่วงนี้ก็จะมีลงแข่ง Chula Alumni กับเพื่อนๆ จุฬาด้วยค่ะ

Q5: ใช้เวลาเตรียมตัวนานแค่ไหนคะ?
P’Baitong:
จริงๆ ตอนแรกวางแผนจะสอบ GMAT ก่อน เพราะสำหรับ Business School GMAT เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ ก็เลยให้ความสำคัญกับตรงนี้มาก อ่านหนังสือประมาณ 7-8 เดือน ซึ่งพอเป็น MBA คนที่สมัครหลายๆ คนก็จะเป็นคนที่ทำงาน Full-time อยู่ เลยต้องมีการแบ่งเวลา มีวินัยอ่าน GMAT ทุกวัน อ่านวันละ 1-2 ชั่วโมง เพราะเราต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง ไม่งั้นเราจะลืมและหมดไฟ หลังจากนั้นก็มีโอกาสมาหาพี่ๆ MTU ซึ่งเป็่นช่วงที่ทำ Essay และเป็นช่วงที่สอบ IELTS ไปด้วย ก็คือต้องทำไปพร้อมๆ กัน ช่วงที่ทำ Essay ก็น่าจะประมาณ 5-6 เดือน ของพี่สมัคร 6 โรงเรียน โดยช่วงเวลา 5-6 เดือนค่อนข้างพอดี แต่ถ้าสมัครโรงเรียนมากน้อยเราก็ต้องปรับเวลาให้พอดี ซึ่งสำหรับพี่แล้วช่วงเวลา 5-6 เดือนเป็น Timeline ที่กำลังพอดีที่จะวางแผนเขียนพวก Essay, Letter of Recommendation หรือจะ Retake สอบใหม่ค่ะ

Q: มี Criteria ในการเลือกโรงเรียนยังไงบ้าง?
P’Baitong:
ตั้งเป้าหมายไว้เลยค่ะว่าอยากไป TOP U มากๆ คือถ้าเราคิดว่าไหนๆ จะต้องไปเรียน 1-2 ปี ไหนจะต้องเสีย opportunity ในการทำงาน ก็เลยตัดสินใจไปเรียน TOP U เลย อย่างแรกตั้งใจทำ GMAT ก่อน ลองสอบ 2-3 รอบจนพอใจ ซึ่งคะแนนก็ไม่ได้ดีมากแต่ยังมีเป้าหมายเดิมอยูู่ว่าจะต้องได้ไป TOP U ก็เลยพยายามปรึกษาพี่ๆ MTU ซึ่งพี่ๆ ก็ช่วยดึงจุดเด่นต่างๆ ให้สะท้อนออกมาในพวก Essay, SOP, LOR ซึ่งช่วยได้เยอะจริงๆ ค่ะ

Q7: ได้ยินว่าติดหลายที่มากๆ ทั้ง UCLA, Cambridge, Tepper, Imperial ตัดสินใจจะเลือกที่ไหนคะ?
P’Baitong:
จริงๆ มีแนวโน้มจะไป MBA Cambridge ค่ะ

Q8: ทำไมถึงเลือก MBA Cambridge ?
P’Baitong:
จริงๆ ลังเลกับ UCLA อีกที่ เพราะพี่คุยกับ Alumni เหมือนจะได้ไปเรียน 2 ปีด้วยใน LA ซึ่งเป็น location ที่เราอยากไป แต่ที่เลือก Cambridge เพราะมีระบบ College system ที่น่าสนใจ จริงๆ เรียนปีเดียวเป็นอะไรที่ประหยัดเวลาแล้วก็ค่าใช้จ่ายด้วย ซึ่งตอนแรกพี่จะ Apply 5 โรงเรียน แต่ GMAT Average ค่อนข้างสูง ทางพี่เจสและพี่คนอื่นๆ ใน MTU ก็เลยแนะนำว่าลองสมัครโรงเรียนที่เน้น GPA ประสบการณ์ทำงาน แล้วก็ GMAT ที่พอดีกับของเราดูสักที่ดีไหม เราเลยคิดว่ามันเป็นคำแนะนำที่ดีมากๆ เพราะเราจะได้ไม่เสียใจถ้าเราอยากไปในปีนั้น เราจะได้ไม่เสียใจที่ไม่ได้ยื่น เพราะการรอ 1 ปีมันเสียเวลาสำหรับหลายๆคน ซึ่งไหนๆ ก็เตรียมตัวแล้วก็ยื่นไปหลายๆที่ เลยดีกว่า

Top MBA Cambridge
Top MBA Cambridge

Q9: น้องใบตองมีเคล็ดลับอะไรบ้าง?
P’Baitong:
สิ่งที่เราต้องใช้พวก GMAT, SOP, Essay แล้วก็ IELTS ถ้าเราทำอันใดอันหนึ่งไม่ดี ที่เหลือก็อยากให้เต็มที่และตั้งใจทำให้ดีที่สุด อย่างพี่พี่ก็จะจะพยามทำ Essay โดยอาศัยการดึงประสบการณ์ทำงานของเราที่น่าสนใจที่สุดและที่สะท้อนให้เห็นว่าเราได้ทำ impact แบบอธิบายให้เขาเห็นว่าเราเก่งโดยไม่ได้บอกว่าเราเก่ง พยายามอธิบายผ่านสถานการณ์ ผ่านการยกตัวอย่างงานที่เราทำให้เราดูเป็นคนที่น่าสนใจแล้วก็มี Characters ที่ Business School ต้องการ เช่นมีความมั่นใจ มีความเป็นผู้นำค่ะ

Q10: อะไรเป็นจุดแข็ง จุดอ่อนที่ต้องพัฒนาใน Application ?
P’Baitong:
จุดแข็งน่าจะเป็นประสบการณ์ทำงานค่ะ เพราะว่ามีพวก Promotion เกือบทุกปี ค่อนข้างก้าวกระโดดแล้วก็ได้ทำงานใน Global firm ด้วยก็เลยทำให้ภาพลักษณ์ในการทำงานค่อนข้างโอเค ด้าน Weakness ก็คือพี่ทำกิจกรรมค่อนข้างน้อยหลังจากเรียนจบ เพราะเหมือนเราโฟกัสการทำงานเยอะไปเลยไม่ได้โฟกัสกิจกรรมอะไรเลย แต่พี่ๆ MTU ก็ได้แนะนำให้ทำกิจกรรมเสริม เช่นของบริษัทเราหรือข้างนอกแนว CSR ทำให้ในชีวิตเรามีประสบการณ์อย่างอื่น ไม่ได้มีแต่งาน ซึ่งมันช่วยปรับจุดอ่อนใน application ของเราได้ดีมากๆ ค่ะ

Q11: มีหลักการวางกลยุทธ์ในการทำ Essay ยังไงบ้าง?
P’Baitong:
ในหลายๆ โรงเรียนก็อาจจะมีคำถามคล้ายกันเช่น Short term / Long term goal คืออะไร แต่บางทีคำถามก็อาจจะ unique สำหรับ Business school ของเขาเอง ซึ่งพี่เริ่มจากคำถามที่คล้ายๆ กันทุกที่ จะได้นำมา adapt ได้ โดยเราจะถามตัวเองก่อนว่าชอบอะไรมี passion อะไร ใน Long term เราอยากจะเป็นอะไร ค่อย specify ย่อยลงมาว่าถ้าจะไปให้ถึง Long term นั้นใน Short term เราควรจะทำงานอะไร สายไหนแล้วเราขาด skill อะไร ทำไมถึงอยากไปเรียน MBA แล้วเราก็นำมาเขียน Essay ใน version ของเราว่าเราอยากไปเรียนเพื่อที่จะมี skill ด้านนั้นด้านนี้ค่ะ

Q12: ถ้าจะสมัคร 4 โรงเรียน เวลาเตรียมตัวที่น้อยที่สุดที่เป็นไปได้คือเท่าไหร่?
P’Baitong:
น่าจะสัก 3 เดือนค่ะ สำหรับส่วนตัวนะคะ เพราะโรงเรียนแรกใช้เวลานานมาก เพราะเราต้องแพลน Long term / Short term goal เราต้องคิดว่าเราอยากได้อะไรจาก MBA ต้องบอกให้ชัดเจนว่าทำไมเราถึงคิดว่า MBA จะช่วยให้เราไปถึงจุดนั้นได้ ซึ่งทางพี่ๆ MTU ก็แนะนำให้เราคิด story หลายๆ เรื่อง เช่น พวกกิจกรรมทั้งในที่ทำงานหรือนอกเหนือจากงานที่ทำแล้วน่าสนใจ  พยายามเล่าเป็นเรื่องแล้วมา brainstorm กับพี่ๆ ว่าเรื่องไหนมันตอบโจทย์กับโรงเรียนนั้น ซึ่งเป็น process ที่ใช้เวลานาน เราพยายามเลือกเรื่องที่เหมาะกับ character ของเราที่สุด ซึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนเพราะเราต้องคุยกับ Recommender ปรับแก้ไขด้วยค่ะ

Q13: แล้วการเตรียมตัวสำหรับ interview ล่ะ?
P’Baitong:
พี่ๆ MTU จะมี mock ให้ลองก่อน การ interview ครั้งแรกมันจะเหมือนเป็นการปลุกไฟในตัวเรา ถ้าเราไม่มั่นใจในคำตอบไหนก็อาจจะมีการโน้ตว่าถ้าคำถามแนวนี้เราจะตอบยังไง อาจจะไม่ต้อง draft เป็นประโยคเขียนแค่เป็น bullet สั้นๆ ว่าเราอยากจะเล่าเรื่องอะไรใ จความสำคัญยังไงบ้าง ซึ่งพี่ก็จะมีอัดเสียงหรือพิมพ์ส่งให้พี่ๆ MTU ช่วยดูบ้างอะไรแบบนี้ค่ะ

Q14: เล่าประสบการณ์ตอน interview หน่อย?
P’Baitong:
หลักๆ ก็จะถามถึง Long term and Short term goals ค่ะแต่บางทีจะไม่ให้เราแนะนำตัวเลยอย่าง Cambridge ซึ่งบางที่เราจะรู้ว่า Interviewer ของเราเป็นใครแต่ของ Cambridge เขาไม่มีแนะนำตัวอะไรเลยค่ะ ฮ่าๆ ซึ่ง Interviewer ของ Cambridge จะเป็น professor ส่วน UCLA จะเป็นนักเรียนปีสองค่ะ ซึ่งถ้าเรามีโอกาสรู้ก่อนเราก็ควรศึกษาข้อมูลเขาก่อน นอกจากนี้ก็จะมีคำถามประมาณว่า Why Cambridge? Why UCLA? อะไรแบบนี้ แล้วก็จะมีคำถามแบบทำไมถึงเลือก MBA ทำไมต้องเป็นโรงเรียนเขาประมาณนี้ หลังจากนั้นก็จะเป็นคำถามสำหรับเรา เช่นถ้ามี challenge เราจะจัดการยังไง เจอ failure จะจัดการยังไง ซึ่งน้อยมากๆ ที่จะเจอคำถามแบบ surprise ไม่คาดคิดค่ะ อาจเพราะเวลาน้อยด้วย ส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นค่ะ

Q15: เลือก Recommender ยังไง?
P’Baitong: ส่วนใหญ่จะขอแค่คนเดียวค่ะ บางที่เป็นส่วนน้อยที่ขอ 2 คนซึ่งถ้าเป็น MBA เราควรเลือกคนที่เป็น Supervisor ที่เห็นเราทำงานโดยตรง เวลาเขียน Letter of Recommendation คนที่จะเขียนสะท้อนจุดเด่นของเราที่ Business School อยากได้ เช่น มีความมั่นใจ มี Leadership มี Teamwork อะไรแบบนี้ เราควรเลือกเป็น Supervisor ที่เขาเห็นเราเป็นแบบนั้นค่ะ

Q16: UCLA กับ Tepper เค้ามองหานักเรียนแบบไหนแล้วเรามีจุดเด่นอะไรทำให้ทางนั้นอยากได้บ้าง?
P’Baitong
: ขอพูดถึง Tepper ก่อนแล้วกันนะคะ จุดเด่นอาจจะเพราะเราเล่น E-sports ซึ่งทาง Tepper เขาจะมีความ Friendly มากกว่ามหาลัยอื่นเลยคิดว่าสำหรับ Tepper เขาน่าจะมองจาก hobby หรือจุดเด่นที่ทำให้เราดู unique ค่ะ ส่วนถ้าเป็น UCLA เขาจะถามแนวๆ เราเคยทำ impact อะไรมา ของพี่ก็จะเป็นโปรเจคที่ทำกับต่างชาติที่ช่วยให้เค้าสามารถ forecast trend ได้ว่าในอนาคต เค้าควรจะเพิ่มหรือปรับลดธุรกิจของเค้ายังไง  เวลาตอบก็คือเลือกเรื่องที่เราได้ทำเยอะและเด่นค่ะ

Q17: ฝากถึงเพื่อนๆ น้องๆ ที่อยากสมัครหน่อย?
P’Baitong:
อยากให้เต็มที่ไปเลยทำให้จบภายในรอบเดียวทั้ง GMAT, IELTS, TOFEL ของพี่ก็คือก่อนยื่นแค่เดือนเดียวยังสอบอยู่เลย เพราะอยากทำให้เต็มที่ทีเดียวไม่อยากเสียใจทีหลัง แล้วก็อยากให้มีวินัย เราต้องแบ่งเวลาดีๆ จะอ่านวันไหนบ้าง กี่ชั่วโมง แล้วก็เลือกโรงเรียนด้วยค่ะ ถ้าไม่เหนื่อยและมีเวลาก็ลองยื่นหลายๆ โรงเรียนที่เราอยากไปดีกว่ายื่นโรงเรียนเดียวหรือ 2 โรงเรียนเพราะไหนๆ เราก็ทำมาขนาดนี้แล้วเนอะ

Q18: แพลนทำงานต่างประเทศด้วยไหม? แล้ว Opportunity เป็นยังไงบ้าง?
P’Baitong:
ของพี่คือตั้งใจจะกลับมาไทยค่ะ เพราะเป็นคนติดบ้านชอบอยู่กับครอบครัว แต่เห็นเพื่อนๆ หลายคนอยู่อเมริกา เขาค่อนข้างให้ opportunity ด้านการฝึกงาน ทำงานมากกว่า เหมือนกับทางมหาลัยจะหาที่ฝึกงานให้เราแต่ไม่ใช่การ guarantee ว่าเราจะได้งานที่นี่ ซึ่งเหมือนเขาจะช่วย match ความชอบ ความสามารถของเราให้กับบริษัทแนวที่เราสนใจ ซึ่งจะมีรุ่นพี่ปีสองหรือ alumni คอย guide ค่ะ โดยปกติแล้วทางอเมริกาเขาจะมี Career Center คอยผลักดันคอยดู resume ให้อยู่แล้วด้วยค่ะ

ขอขอบคุณพี่ใบตองมากๆ ค่ะ ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้ด้วยกันนะคะ

น้องๆ ที่อยากสมัคร MBA Cambridge
สามารถขอ Free Consultation Call กับพี่ๆ ได้เลยค่ะ

รับเคล็ดลับเรียนต่อฟรี ส่งถึงมือทุกสัปดาห์ 
น้องๆที่จะสมัคร ไปเรียนต่อ MBA หรือ Master’s Degree สายอื่น อย่าพลาด
ปรึกษาฟรี!!!! คลิกเลย FREE CONSULTATION
ฟังเรื่องราวความสำเร็จของนักเรียน MTU คลิกเลย

บทความที่เกี่ยวข้อง

EP74: ความเหมือนของทีม Avengers กับคลาสเรียน MBA

ความเหมือนของทีม Avenger กับคลาสเรียน MBA ครูพี่เจส ภัคศิกร ทับทิมทอง อดีต Admissions Committee ที่ Kellogg, Northwestern University และเป็นผู้บริหารบริษัท Mission To Top U TopU Talk The Podcast · KruPJess.EP74:

Read More »

EP173: 9 Essay Mistakes (Part 2)

จุดผิดพลาดที่คนมักทำในการเขียนบทความ (ตอนที่ 2) ครูพี่เจส ภัคศิกร ทับทิมทอง อดีต Admissions Committee ที่ Kellogg, Northwestern University และเป็นผู้บริหารบริษัท Mission To Top U TopU Talk The Podcast · KruPJess.EP173: 9

Read More »

EP139: การวิเคราะห์ Covid-19 แบบคนจะสอบ GMAT

สถาณการณ์ Covid-19 เป็นอย่างไร หากเราเอาหลักของ GMAT มาช่วยวิเคราะห์ มาฟังกันค่ะ ครูพี่เจส ภัคศิกร ทับทิมทอง อดีต Admissions Committee ที่ Kellogg, Northwestern University และเป็นผู้บริหารบริษัท Mission To Top U TopU Talk The

Read More »
Scroll to Top