3 บทเรียนจากสุกี้ตี๋น้อย

พี่เมฆมีโอกาสฟังบรรยายจากคุณเฟิร์น เจ้าของ “สุกี้ตี๋น้อย” จัดโดย HOW ของพี่โจ้ ธนา และพี่กระทิง เรืองโรจน์ คุณเฟิร์นเล่าว่า เริ่มทำร้านตอนอายุ 25 ร้านเล็กๆ มีแค่ 10 โต๊ะ ช่วงแรกไม่มีลูกค้า ต้องเรียกคนมากินฟรี วันนี้ สุกี้ตี๋น้อยมีสาขาถึง 85 สาขา สร้างรายได้ปีละ 7,000 ล้านบาท กำไรปีละ 1,000 ล้านบาท มีพนักงานเป็นพันคน มีโรงงานน้ำจิ้มผลิตใช้วันละ 8 ตัน ผลงานประจักษ์ชัดแบบนี้ แต่คุณเฟิร์นก็ยังย้ำเสมอว่า เธอไม่ได้เก่ง แค่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดทุกวัน ฟังแล้วน้องๆ อาจจะคิดว่า แล้วเกี่ยวอะไรกับ Top U? เกี่ยวสิครับ เพราะเส้นทางของคนที่อยากเรียนต่อระดับโลก ก็ไม่ได้ต่างจากการสร้างธุรกิจจากศูนย์เลย

น้องๆ เคยรู้สึกมั้ยครับ ว่าอยากเรียนต่อต่างประเทศ แต่เราก็แค่คนธรรมดา GPA ก็กลางๆ ภาษาอังกฤษยังไม่คล่อง งานที่ทำก็ดูไม่ว้าว กิจกรรมนอกเวลาก็ไม่ได้เด่นอะไรมาก บางครั้งแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งเห็นคนอื่นดูเก่ง ดูพร้อมไปหมด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเราจะไหวเหรอ?

พี่เมฆอยากแชร์บทเรียน 3 อย่างที่ได้รับจากคุณเฟิร์น ผู้ที่เริ่มจากศูนย์เหมือนกัน ไม่มีทุน ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีแผน มีแค่ใจกับความกล้าเริ่มเท่านั้นเอง

1. เริ่มให้ได้ก่อน

ตอนอายุ 25 คุณเฟิร์นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชอบสุกี้ แต่รู้ว่าอยากออกจากงานประจำ มาทำธุรกิจที่ Mass และ Scalable เธอเริ่มจากหน้าร้านอาหารของคุณพ่อ ที่คนเช่าเดิมเพิ่งออก ช่วงแรกที่ทำ ก็ไม่มีลูกค้า ก็ต้องเรียกคนมากินฟรี พนักงานก็มีแค่คุณเฟิร์นกับพี่หมวย (แม่ครัว) อีกคน คุณเฟิร์นก็ซื้อผัก ซื้อหมู และวัตถุดิบต่างๆ ที่ตลาดเอง เสิร์ฟอาหารเองและตอบ Inbox เอง ทำไปสักพัก เริ่มขยายไปสาขา 3,4,5 แต่ก็ยังไม่มีระบบ ทำให้ถูกโกงไปหลายครั้ง แต่จากการลงมือทำจริง เจ็บจริง ใส่ใจทุกรายละเอียด ก็ค่อยๆ เรียนรู้ปรับปรุงแก้ไขไปทีละอย่าง

น้องๆ หลายคนอยากไปเรียนต่อ Top U แต่ก็อยากรอให้รู้สึกว่าพร้อมทุกอย่างก่อน ถึงจะสมัคร Top U แต่ในโลกความจริง ไม่มีใครพร้อม 100% ได้หรอกครับ คนที่ติด Top U ส่วนมากเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองมี แล้วค่อยๆ ต่อยอดอย่างมีกลยุทธ์ต่างหาก ไม่ต้องรอให้ภาษาอังกฤษเป๊ะ ไม่ต้องรอให้ GMAT ดีก่อน ไม่ต้องรอให้ได้งานว้าวๆ ก่อน ไม่ต้องรอให้ พร้อมแล้วค่อยเริ่ม

แต่ต้องเริ่มวันนี้เลย ด้วยสิ่งที่มี แล้วค่อยๆ เติมให้ครบและปรับกันไปในระหว่างทาง เรียกว่าตอนนี้ไม่ต้อง Perfect แต่ต้องดีขึ้นไปในทุกๆ วัน

2. ใช้ของที่มีให้ดีที่สุด

น้ำจิ้มสุกี้ตี๋น้อยที่คนติดใจกันทั่วประเทศ เริ่มจากคุณเฟิร์นกับพี่หมวยนั่งสับกระเทียมและกวนเครื่องเทศต่างๆ ด้วยกันเองหลังร้าน เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่กระเทียมหรือเครื่องเทศที่ล้ำเลิศอะไร แต่ปรุงแบบลองผิดลองถูกหลายๆ แบบ จนวันนี้ กลายเป็นสูตรที่คนชอบมาก จนโรงงานของบริษัทต้องผลิตน้ำจิ้มถึงวันละ 8 ตัน

ในทำนองเดียวกัน น้องๆ หลายคนที่มาหาพี่เมฆ ก็มักจะบอกว่า Profile ของผม ของหนูธรรมดามากๆ เลย ตำแหน่งงานประจำที่ทำก็ Junior มาก แทบไม่มีอะไรโดดเด่นเลย แต่พอคุยกันไปได้สัก 30 นาที พี่ก็มักจะเจอสิ่งพิเศษในตัวน้องๆ เสมอ

เช่น มีน้องคนหนึ่ง ทำงานเป็น Audit Assistant ซึ่งเป็นตำแหน่ง Junior ที่สุดของบริษัทสอบบัญชีแห่งหนึ่ง น้องมีความฝันอยากเรียน MBA ที่ Cambridge และต้องสมัครภายในอีก 5 เดือน โดยน้องเป็นคน Introvert มาก ตอนเรียนก็ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมากมาย ตอนเจอครั้งแรก น้องถามว่าจะสมัคร Cambridge ดีมั้ย ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่น่าจะได้ กลัวเสียเวลา พี่เลยให้น้องใจเย็นๆ แล้วก็ให้น้องค่อยๆ เล่าว่านอกเวลาเรียน นอกเวลางาน เคยทำอะไรมาบ้าง

น้องบอกว่า ไม่ค่อยได้ทำ แค่เรียนเสร็จ ก็กลับบ้าน ตอนนี้ พอทำงานเสร็จ ก็กลับบ้าน ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรที่เพื่อนๆ ทำกันเลย เช่น แข่งเคส ปลูกป่า บริจาคของ ค่ายอาสา ทำวิจัย เป็นต้น แต่น้องหลุดมาประโยคหนึ่งว่า “หนูเขียน Blog เล่าเรื่องที่ตัวเองพบเจอแต่ละวัน ลงใน Website มา 4 ปีแล้วค่ะ”

คำนี้คำเดียว เปลี่ยนชีวิตเลย เรื่องนี้เรื่องเดียว สะท้อนตัวตนว่าน้องมี Passion ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน แล้วพี่เมฆและน้องก็เชื่อมสิ่งต่างๆ ที่น้องเคยทำมา ถึงจะไม่เยอะ แต่ทุกอันเป็น Evidence ที่แสดงว่าน้องมี Passion เรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนทั้งหมด เช่น แม้ว่าน้องจะ Audit บริษัทหลากหลายอุตสาหกรรม แต่พี่เมฆก็จะให้น้องเน้นเล่าเรื่องที่ดูแลลูกค้าโรงเรียนและ Education Tech company เป็นหลัก

ถ้าเราเอาของดีในตัวเราออกมา List ทั้งหมด แล้วมองภาพใหญ่ พยายามเชื่อมเรื่องราว ค้นหาเหตุผลของการทำของดีเหล่านั้นเข้าด้วยกันให้ได้ มันมักจะฉายแววความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นตัวตนของเราออกมาเสมอครับ

3. เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง

ก่อนเปิดร้านสุกี้ คุณเฟิร์นทำการบ้านผ่านการลงพื้นที่หลายครั้ง และพบว่าบุฟเฟ่ต์เป็นสิ่งที่คนไทยนิยม และราคา ณ ตอนนั้นหลายๆ ร้านอยู่ที่ 199 บาท ณ ตอนนั้น ราคานี้ในท้องตลาดทั่วไป ขายได้ดี คุณเฟิร์นเชื่อแบบนั้น แต่จะทำอย่างไรให้สุกี้ตี๋น้อยแตกต่างจนคนต้องมาทาน?

คุณเฟิร์นเริ่มด้วยการเสิร์ฟอาหารเจ๋งๆ ที่ร้านอื่นไม่มี แล้วตอนเปิดสาขาที่สอง ก็เลือกทำร้านในไนท์คลับเก่าที่เลียบด่วนรามอินทรา เพราะชอบเพดานสูง ห้องน้ำหรู ที่จอดรถกว้างขวาง แอร์เย็นๆ อีกจุดคือ บุฟเฟ่ต์ 199 บาท ที่อื่นๆ ให้ลูกค้าตักเอง แต่ที่สุกี้ตี๋น้อย ลูกค้านั่งอย่างเดียว มีพนักงานมาเสิร์ฟอาหารถึงโต๊ะ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าขนาดนี้ ลูกค้าก็ไหลมาเทมาต่อเนื่องเลยครับ

เหมือนกัน เวลาสมัครมหาวิทยาลัย น้องๆ ก็ต้องเข้าใจแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างลึกซึ้ง ว่าต้องการคนแบบไหนไปเรียน? นี่คือเหตุผลที่พี่เมฆมักจะแนะนำให้น้องๆ คุยกับ Alumni หลายๆ คน และมาร่วมงาน Information session เพื่อให้ได้พบปะกับคณะกรรมการคัดเลือกโดยตรง (ซึ่ง Mission To Top U จัดขึ้นเป็นประจำ ทั้ง Onsite และ Online)

แล้วน้องๆ จะได้นำ Insight ต่างๆ มาปรับวิธีการนำเสนอ Profile ของตัวเอง ผ่านการเล่าเรื่องใน Essay, Resume, และ Interview ที่โดนใจ ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละมหาวิทยาลัย บางคนพยายามทำกิจกรรมหลายอย่าง บางคนพยายามทำให้ดูยิ่งใหญ่ แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ มองหาก็ได้

สรุปบทเรียนของสุกี้ตี๋น้อยครั้งนี้ บอกเราว่า เราไม่จำเป็นต้องรอให้พร้อม แล้วค่อยลงมือสมัคร Top U เพราะโอกาสมักไม่รอเรานานขนาดนั้น แต่เราควรทำความเข้าใจมหาวิทยาลัย แล้วเริ่มลงมือทำให้ตอบโจทย์เลย โดยดูจากสิ่งที่ตัวเองมีก่อน แล้วเริ่มทำเพิ่มจากเล็กๆ ก่อนก็ได้ แล้วค่อยปรับแก้ไขพัฒนากันไปในระหว่างทาง

นี่แหละครับ จุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และถ้าวันนี้น้องยังไม่รู้จะเริ่มยังไง พี่เมฆขอแค่น้องมีใจที่อยากจะเริ่มก่อน แล้วทักมาหา Mission To Top U มาร่วมกันทำความฝันให้เป็นจริงได้เลยครับ
รับเคล็ดลับเรียนต่อฟรี ส่งถึงมือทุกสัปดาห์ 
น้องๆที่จะสมัคร ไปเรียนต่อ MBA หรือ Master’s Degree สายอื่น อย่าพลาด ปรึกษาฟรี!!!! คลิกเลย FREE CONSULTATION
ฟังเรื่องราวความสำเร็จของนักเรียน MTU คลิกเลย