P’Yok: ต้องเล่าก่อนครับว่าส่วนตัวต้องการที่จะเรียนทั้งคู่อยู่แล้ว หลายมหาลัยเค้าจะเปิดเป็น Concurrent ก็คือเปิดให้เรียนควบ เช่น MBA ที่ MIT Sloan และ MPA ที่ Harvard Kennedy School ซึ่งตามปกติแล้วจะใช้เวลาเรียน 4 ปีถึงจะเรียนจบ แต่ว่าในหลักสูตรควบแบบนี้จะสามารถจบได้ใน 3 ปีครับ ที่ Harvard Kennedy School ตอนนี้มีหลักสูตรปริญญาโทหลักๆ 4 หลักสูตร

• MPP: Master in Public Policy
• MPA: Master in Public Administration
• MPA/ID: Master in Public Administration (International Development)
• MC/MPA: Mid-Career Master in Public Administration เป็นหลักสูตรสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานมาเยอะระดับนึง

จริงๆ แล้วโดยเนื้อหา ทั้ง 4 หลักสูตรนี้มีความคล้ายกันมาก จะมีตัวเดียวที่ต่างจากเพื่อนคือ MPA/ID ซึ่งเป็นตัวที่ค่อนข้าง Quant แล้วก็เรียน Math กับ Stats เยอะกว่าตัวอื่น บางคอร์สมีระดับเทียบเท่ากับ PHD เลย ส่วนอีก 3 ตัวนั้นโดยเนื้อหาจริงๆ แล้วเหมือนกันหมดครับ

สำหรับผมแล้วผมสนุกกับ MPA มากกว่า เรียกว่าเป็นเพชรในตมได้เลย เพราะอย่าง MBA เนี่ยเราเรียนเพื่อไปแก้ปัญหาทางธุรกิจแต่ MPA เรียนเพื่อนำไปแก้ปัญหาให้คนทั้งโลก ไม่ว่าจะพูดถึงปัญหาไหนในคลาสก็จะเป็นเรื่องที่คนทั้งโลกกำลังเจออยู่จริงๆ มีคนที่เดือดร้อนอยู่จริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาโลกร้อน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหา Cyber Security ซึ่งต่างจาก MBA 

Q2: MPA มีการ Discuss กันภายในคลาสเยอะเท่า MBA ไหม?

P’Yok: ด้วย Nature ของ Harvard ที่จะเน้นในเรื่องกรณีศึกษาอยู่แล้ว ผมเชื่อว่า Discuss กันไม่แพ้ MBA แน่นอนครับ แล้วก็แต่ละปัญหาเป็นปัญหาที่น่าสนใจเพราะ Harvard Kennedy School มีนักเรียนมาจากทั่วโลกก็จะได้รับรู้เรื่องราว มุมมองของคนทั่วโลก

Q3: ส่วนใหญ่คนที่จบ MPA เค้าไปทำงานอะไรกันบ้าง?

P’Yok: กว้างคล้าย MBA เลยครับ กลับเข้ามา Private Sector ก็เยอะ ไป Non-Profit ก็เยอะนะครับ ไปเป็น Government ก็เยอะ คนที่จบจาก Harvard Kennedy School แล้วไปเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศก็มีเยอะครับ เข้า Consult ก็เยอะครับ เดี๋ยวนี้ Government ต้องการ Consult คนนอกเยอะขึ้นครับ

Q4: ถ้าเราทำงาน Private มาตลอดจะสมัคร MPA ได้ไหม?

P’Yok: สมัครได้แน่นอนครับ มีโอกาสด้วย สิ่งสำคัญที่จะติดได้อย่างแรกคือต้องเข้าใจตัวเอง เป้าหมายต้องชัดเจน ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าดีกรีใบนี้จะช่วยให้เรา achieve สิ่งที่เราต้องการได้ยังไง ดังนั้นถึงเป็น Entrepreneur มาก่อน ถ้าสามารถเชื่อม Story ของตัวเองได้ก็สมัครได้ครับ

Q5: ตอนนั้นสมัครที่อื่นนอกจาก Harvard ไว้ไหมครับ?

P’Yok: ตอนนั้นสมัคร 3 โปรแกรมไปครับ ที่ Harvard 2 แล้วก็ที่ Berkeley 1 ครับ Harvard อีกอันนึงจะเป็น School of Education 

Q6: เพื่อนๆ ในคลาสอายุเฉลี่ยประมาณเท่าไหร่ครับ?

P’Yok: ถ้าเป็น Master in Public Administration จะอยู่ที่ช่วง 30 ปีครับ ก็คือทำงานมาระดับนึงแล้วครับ

Q7: โปรแกรมนี้มี Minimum Requirements ด้วยใช่ไหมครับ?

P’Yok: MPA ถ้าจำไม่ผิดจะ Require ประมาณ 4 ปีครับ

Q8: จากที่ได้ไปเรียนโปรแกรม MPA ที่ Havard Kennedy School คิดว่ามี Highlight อะไรบ้างที่อยากแนะนำให้น้องๆ ได้รู้?

P’Yok: มีเยอะมากครับ ต้องบอกก่อนว่าที่ Harvard เนี่ย DNA เค้าคือ Leadership ดังนั้นคอร์สที่เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ คอร์ส Negotiation ก็คือสุด เข้มถึง Internal เลยนะครับ ไม่สามารถไปเรียนแบบขำๆ บางคลาสพอเรียนจบนี่นักเรียนทั้งห้องร้องไห้เลยก็มี เค้าพยายามปลูกฝังว่าเราจะไม่มีทางทำสิ่งนั้นได้ดีถ้าเราไม่เชื่อในสิ่งนั้น เชื่อจากใจเลยว่าเราต้องการทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้น Harvard เค้าอยากให้คนที่จบออกไปสามารถนำคนได้ 

Q9: ชีวิตประจำวันตอนเรียน MPA เป็นยังไงครับ?

P’Yok: ตอนเรียนมีกิจกรรมหลากหลายมากครับ ปริญญาใบนี้เปลี่ยนวิธีคิดผมไปเยอะเลยครับ ไฮไลต์เลยก็คือมีครั้งนึงที่ประธานาธิบดีประเทศยูเครน Phone In เข้ามาแบบสดๆ เลย จะมีโอกาสได้เจอคนสำคัญๆ เยอะมาก

Q10: Recommender ของเราจำเป็นต้องมาจากสายไหนเป็นพิเศษไหม?

P’Yok: ยืนยันว่าไม่จำเป็นครับ ของ Harvard Kennedy School ใช้ 3 คน อาจจะมีคนนึงเขียนซัพพอร์ตเราให้เนื้อหามีความตรงกับเรื่องราวที่เราใส่ไปใน Essay ส่วนอีก 2 คนถ้าเป็นไปได้อยากให้เขียนชมเราในจุดที่ Essay ไม่ได้เขียนไว้ อาจจะเป็นจากในมุมมองที่เรานึกไม่ถึง ถ้าทั้ง 3 คนชมต่างเรื่องกันได้ยิ่งดี คนไทยสามารถโชว์เรื่องราว personal ที่มีเอกลักษณ์ มีความเป็น Insight ของประเทศไทย ยิ่งเจาะลึกเป็นพื้นที่ยิ่ง Unique จะทำให้มหาลัยรู้สึกสนใจในตัวเรามากขึ้นด้วย

Q11: ฝากอะไรถึงน้องๆ ที่กำลังสนใจสมัครโปรแกรม MPA นิดนึงครับ?

P’Yok: สำคัญที่สุดที่อยากบอกเลยคือสำหรับผม MPA เป็นเพชรในตม แนะนำให้น้องๆ เค้าไปดูชื่อวิชาแต่ละวิชาของ Harvard Kennedy School มากครับ น้องๆจะเลือกเรียนไม่ถูกเลย วิชาน่าสนใจเยอะมากๆ สิ่งที่อยากฝากก็คือคุยกับตัวเองดีๆ ว่าเป้าหมายเราอยากได้อะไรแล้วสื่อสารออกมาให้ชัดเจนว่าทำไมปริญญาใบนี้จะเป็นสะพานเชื่อมให้เราไปถึงเป้าหมายของเราได้ ยิ่งสื่อสารชัด ยิ่งเราดึงเอกลักษณ์ของเราออกมาที่ชาติอื่นไม่มี ยิ่งเด่น ติดแน่นอนครับ เอาใจช่วยครับ