“มันยากมากนะ ไปเรียน MBA 1 ปี และอยากเปลี่ยนงานนะ มันสู้เด็กเรียน 2 ปีลำบาก” คำเตือนจากรุ่นพี่ Kellogg
น้องๆจะคุ้นเคยกับโปรแกรม MBA ที่เป็นหลักสูตร 2 ปี (2-Year MBA Program) แต่พี่เจสอยากเรียนจบเร็ว และอยากประหยัดตังค์คุณพ่อคุณแม่เลยไปเรียน Kellogg หลักสูตร 1 ปี (1-Year MBA Program) ซึ่งเป็นฉบับเร่งรัดสำหรับคนที่เรียนบริหารธุรกิจมาแล้วตอนปริญญาตรี
ก่อนไปเรียนเอ็มบีเอ พี่เจสทำงานที่ปรึกษาการเงิน วาณิชธนกิจ หรือไอบี (Investment Banking: IB) มา 5 ปี และพี่เจสไป MBA เพราะตั้งเป้าหมายจะเปลี่ยนสายงานไปทำที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจ (Management Consulting หรือ Strategy Consulting)
ความยากและความท้าทายของการเรียนโปรแกรม 1 ปีที่รุ่นพี่ได้เตือนมาคือ การหางาน โดยเฉพาะคนที่อยากเปลี่ยนสายงาน (เราเรียกว่า Career Changer) เพราะจุดอ่อนของโปรแกรม 1 ปี คือเราจะไม่มีโอกาสฝึกงานตอนซัมเมอร์ ซึ่งพี่เจสตกอยู่ในกลุ่มนี้
ความยากและความท้าทายที่พี่ๆเตือนไว้ คือ เราจะต้องไปแข่งกับเด็กเอ็มบีเอปี 2 ซึ่งผ่านการลับอาวุธมาคมกริบตั้งแต่เรียนปี 1 ทั้งเรียนมาก่อนหนึ่งปี ทั้งได้ฝึกสัมภาษณ์มาก่อน และที่สำคัญที่สุดคือได้ฝึกงานจริงสามเดือนช่วงซัมเมอร์ รุ่นพี่ต่างก็เตือนว่า ถ้าเรียนโปรแกรม 1 ปี แล้วอยากเปลี่ยนมา Consult มันยาก เพราะงาน Consult เป็นเป้าหมายอันดับ 1 ของเด็กเอ็มบีเอหลายคน มีน้อยคนมากที่เปลี่ยนสายได้ถ้าเรียนหนึ่งปี พี่เจสคิดในใจว่า ถ้ามีหลักฐานว่า 1 คนทำได้ เราก็ต้องทำได้ซิ ดังนั้นจึงไปเรียน Kellogg อย่างมั่นใจ 100% ความมั่นใจเหลือ 80%…. เมื่อเริ่มฝึกสัมภาษณ์…..ยังจำได้ว่าฝึกทำเคสครั้งแรกกับเพื่อนสาวชาวอินเดียมาเฮค นางถามว่า “เจส บริษัทขุดเจาะน้ำมัน มีผลประกอบการขาดทุน เราจะช่วยให้เขามีกำไรได้ยังไง ?”
ฟังเสร็จพี่เจสก็อึ้ง ช็อคไปเลย ธุรกิจขุดเจาะน้ำมันก็ไม่รู้จัก เราจะไปช่วยเค้าได้ยังไงเนี่ย..?!? เคสแรกพี่เจสทำไม่จบ เพื่อนสาวชาวอินเดียมาเฮค ทนเห็นเรางงจนต้องเฉลยให่ฟัง
การสัมภาษณ์งาน Consult ท้าทายมาก เพราะต้องฝึกทำ Case Interview ซึ่งจำลองปัญหาธุรกิจโลกแตกลองลูกค้ามาเป็นโจทย์ให้เราแก้ภายใน 45 นาทีเท่านั้น
รูปแบบเป็นแนว Interviewee-led คือเราเป็นคนนำการแก้ปัญหาเคส โดยคนสัมภาษณ์ให้โจทย์แบบเปิดกว้าง เช่น บริษัทอยากเพิ่มรายได้ 20% จะช่วยยังไง ? บริษัทอยากลงทุนต่างประเทศ จะไปทำธุรกิจที่ประเทศไหนดี ? เป็นต้น
แล้วเราต้องเลือกเองว่าจะแก้ไขปัญหาด้วย Framework อะไร และจะโฟกัสจุดไหนก่อนเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด คนสัมภาษณ์จะมีข้อมูลลูกค้าสนับสนุนอยู่ แต่จะไม่บอกเราจนกว่าเราจะถามถูกจุด เหมือนเล่นเกมทายคำเลย เราต้องฝึกทั้ง Framework การวิเคราะห์ธุรกิจ และต้องเข้าใจพื้นฐานอุตสาหกรรมให้รอบรู้ด้านว่าแต่ละธุรกิจมีปัจจัยไหนสำคัญ
ความมั่นใจเหลือ 50%.… เมื่อเริ่มสมัครงานรอบ On-Campus
รอบ On-Campus เป็นรอบที่บริษัททั่วโลกบินมาสัมภาษณ์เด็ก MBA ที่มหาลัยเลย เพราะอยากได้เด็ก MBA มาก พี่เจสส่งใบสมัครงาน Resume ไปกว่า 20 บริษัท แต่ได้เรียกสัมภาษณ์แค่ 4 บริษัทเท่านั้น ความมั่นใจตกอย่างแรง เพราะโดนปฏิเสธตั้งแต่รอบ Resume Screening
พอไปสัมภาษณ์ 3 บริษัทแรก สอบตกตั้งแต่สัมภาษณ์รอบแรก สิ่งที่คนสัมภาษณ์ฝรั่งบอกคือ…
“เราเห็นความสามารถคุณนะ คุณทำเคสได้โอเค แต่ยังดูตื่นเต้นและประหม่าตอนนำเสนอ การสัมภาษณ์รอบต่อไปมีที่จำกัด… ขอโทษด้วยที่คุณไม่ได้ไปต่อ ขอบคุณที่สนใจบริษัทเรา…”
…คุณพี่จะบอกไม่เลือกหนู ก็บอกมาตรงๆเถอะค่ะ หนูรับไม่ได้ ก็ต้องยอมรับ…
เมื่อสัมภาษณ์บริษัทสุดท้าย ผู้จัดการฝรั่งบินมาสัมภาษณ์ที่มหาลัยและพี่เจสได้ผ่านเข้าไปถึงรอบสุดท้าย บริษัทส่งตั๋วเครื่องบินให้บินไปสอบสัมภาษณ์รอบสุดท้าย บินจากชิคาโกไปสอบสัมภาษณ์บอสตัน
การสัมภาษณ์กับพาร์ทเนอร์หัวหน้าใหญ่เหมือนจะผ่านไปได้ดี เราตอบคำถามได้ทุกข้อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ offer งาน…Feedback ที่ได้คือ คุณยังนำเสนอไม่คล่อง ดูไม่มั่นใจ
จุดนั้น ความมั่นใจไม่ใช่แค่เหลือ 0% แต่ถึงกับติดลบไปเลย… เราเดินล่องลอยในสวนสาธารณะที่บอสตัน แบบงงๆเดินหาความหมายชีวิตว่าจะทำยังไงต่อดี คิดได้แต่ว่า
“เราไม่เก่ง เราทำไม่ได้ พ่อแม่อุตส่าห์ส่งเสียค่าเรียนแสนแพงมาที่เมกา…แต่เรายังหางานดีๆไม่ได้…”
ตอนนั้นมันมืดแปดด้านจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไงต่อดี… ได้แต่ขึ้นเครื่องบินกลับชิคาโกแบบมึนๆ…
>>>>>>>>>> พี่เจสจะทำยังไงต่อ ติดตาม Part 2 ค่ะ
Schedule a 15-min call to get your questions answered by admissions experts