วันนี้ Top U JumpStart ใน Episode นี้จะพาไปพบกับ Special Guest หรือน้อง Friend Sirayaporn นักเรียน MBA Cambridge จะมาเล่าประสปการณ์ทั้งด้านการเตรียมตัวก่อนที่จะยื่น และประสปการณ์จริงที่ Cambridge University น้องๆที่อยากสมัครหรือสนใจเรียน MBA ที่ Top U ไม่ควรพลาด
Q1: Background เป็นยังไงบ้างถึงได้ตัดสินใจศึกษาต่อ MBA
N’ Friend: จบการศึกษาที่จุฬา เอกเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ หลังจากจบได้เป็น Task Consultant ที่บริษัท PWC เป็นเวลา 2 ปีเน้นการดูแลเกี่ยวกับ Pricing, and strategy. หลังจากนั้นได้ขยับขยายเป็น Finance Supervisor ที่ Unilever ดูแลสินค้าประเภท Fabric wash, Fabric conditioner อยู่ 1 ปี, หลังจากนั้นได้ apply เป็น Consulting Deloitte, โฟกัสที่ Strategy and Operation ได้มีการจัดการ Dynamic Project; Budgeting planning, forecasting, strategic planning, change management, และ Technology implementation ได้ experience collaborative environment และการทำงานเป็นทีม. เลยอยากจะได้ Degree MBA เพื่อเป้นตัวช่วยในการขยับขยายในสายงานอาชีพของตัวเอง
Q2: 3 words ที่ describe ตัวเอง และ Personal Quote
N’ Friend: 3 words are Kind, Friendly, and Organised. และ Quote ประจำตัวคือ “To be in a top 1 percent we must be willing to do what 99% do not do”
Q3: อะไร Inspire ทำให้อยากไปศึกษาต่อ MBA ทั้งๆที่งาน Consult ที่ Deloitte ก็ค่อนข้างมั่นคงอยู่แล้ว?
N’ Friend: ครอบครัวค่อนข้าง Value การศึกษา, พี่น้องหลายๆคนก็มี Degree PhD, เป็นหมอและแพทย์ เลยเล็งเห็นว่าการประโยชน์ของการเรียน MBA คือ 1. ได้เรื่อง Connection ต่างๆกับทั้งกับอาจารย์และเพื่อนชาวต่างชาติ 2. ได้ความรู้ด้าน Business และ Management จากเพื่อนๆที่ล้วนแต่มาจากแต่ละสายงานที่ใช้ทักษะทั้งสิ้น
Q4: เตรียมตัวนานไหม, และระหว่างเตรียมตัวสามารถ Reflect จุดแข็ง จุดอ่อนตัวเองเป็นอะไรบ้าง?
N’ Friend: ภาพรวมใช้เวลาประมาณ 1 ปี, จะแบ่งเป็นการติวและอ่านหนักจริงๆเป็นเวลา 2 – 3 เดือน, และติวVerbal ล่วงหน้ามาประมาณ 3-4 เดือน. ที่อาจจะใช้เวลานานหน่อยเพราะว่าต้องทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย. สิ่งที่เน้นเลยระหว่างเตรียมตัวอันดับแรกเลยคือทำความเข้าใจข้อสอบ GMAT และ equip mindset ที่จำเป็นในการทำข้อสอบ และข้อสองคือการแก้ไข้ปัญหาเฉพาะหน้า และ ด้าน Leadership Skills
จุดแข็ง
- ด้วยความที่ทำงานอยู่ใน Consultation Field ทำให้มี Communication Skills เช่น Good message deliver, and Presentation skills.
- Collaboration skills, เพราะในการทำงาน Consult ต้องมีการสื่อสารบ่อย และกับหลากหลายคนหลากหลาย Background.
- Organized, เพราะที่ Deloitte เองบางครั้งจะมี Project หลายอันทับกันซึ่งทำให้สกิลด้าน Oraganize จำเป็นต่อสายงานนี้และก็ทำมาเรื่อยๆ
จุดอ่อน
เป็นคนชอบใจอ่อน, เวลามีเพื่อนหรือคนรู้จักมาขอให้ช่วยในบางส่วนที่เราถนัดเราก็มักจะไม่ปฏิเสธถึงแม้จะเหนื่อยแล้วก็ตามหลังๆเลยพยายามที่จะสอนและ Guide แทนที่จะทำให้เลยเพื่อที่ครั้งต่อไปเค้าจะได้ทำกันเองได้ และในเวลาที่เจอโจทย์หรือข้อมูลที่ไม่คุ้น, ก้สามารถปรึึกษาเพื่อนๆได้เช่นกัน
Q5: แนะนำเทคนิคการ Build Profile ให้โดดเด่น
N’ Friend: แนะนำให้ Build Profile ให้เป็น Theme, และพยายามทำกิจกรรมต่างๆให้ Relate กับ Theme นั้นๆ. เดี๋ยวนี้ตามออนไลน์ต่างๆมีเปิดให้ไปทำกิจกรรมและจะได้ใบ Certificates หรือมีแม้กระทั้ง Free Cetrificate Courses เช่นใน Coursera.อย่างเคสของพี่เฟรนเองก็ได้มีการไปเข้า Session ใน Topic Skin care, Ingredient, และ Online marketing ที่มี Certificate ให้เมื่อจบคอร์ส เพราะส่วนตัวสนใจและกำลังจะทำธุรกิจเกี่ยวกับ Skin Care
Q6: ส่วนตัวคาดหวังว่าประสปการณ์การไป Cambridge รอบนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
N’ Friend: สิ่งที่ตื่นเต้นจริงๆมีหลายเรื่อง แต่ถ้าไห้คัดมาคงมีดังนี้
- การไปเจอและเข้าสังคมของนักศึกษาที่นั้น, ได้มีการพูดคุยไปแล้วเบื้องต้นผ่าน Virtual meeting, หรือ Zoom.
- ในเรื่อง Homesick ไม่ค่อยเป็นห่วงเพราะว่าจากที่ฟังประสปการณ์ที่เพื่อนๆหลายๆคนเล่าคือสังคมหรือเพื่อนที่นั่นค่อนข้างเฟรนลี่, จะมีการจัด Virtual drinking ในช่วง Covid-19 เพื่อ Break the ice และทำให้เกิด Friendly and Collaborative Environment
- ในด้านประสปการณ์ระหว่างเรียนจะต่างกับประเทษไทยหลักๆเลยคือที่ต่างประเทศจะต้อง Pre read ก่อนจะเข้าเรียน และบรรยากาศในคลาสเรียนจะเป็นการ Discuss and debate ซะมากกว่าการ Lecture. Negotiation class จะให้นักเรียนแบ่งกลุ่มในเรื่องของ Background, และ Stand Point เพื่อไห้ไปทำ Research เกี่ยวกับ Framework และ Tactic ที่จะใช้ในการ Debate กับฝ่ายตรงข้าม. สิ่งที่ได้หลักๆเลยไม่ไช่เป็นเนื้อหาในหนังสือแต่เป็นการได้เห็น Perspective และ Opinion ของคนจากหลายๆ Backgrounds and Culture
- ได้มีการเข้าร่วม Study group 5 คนต่อกลุ่ม แต่ละสมาชิกมาจากหลากหลาย Background เช่น Lawter, Salesman, and Psychiatist และมาจากหลายประเทศเช่นจากเปรู, อินเดีย, ไต้หวัน, และเกาหลี. ได้แบ่งปันข้อมทูลด้านที่ตัวเองถนัด และยังได้เรียนรู้ข้อมูลที่เพื่อนถนัดเช่นเดียวกันทำให้ได้ศึกษาหลายความคิด
- Lifestyle ที่นอกเหนือจากการเรียนส่วนตัวชอบกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดขึ้นซึ่งมีความหลากหลายมากและมี Focused activity สำหรับคนที่สนใจทักษะในสายงานนั้นๆเช่น Marketing, Entrepreneurship, Venture Capital, Finance, and etc. มีการให้ Alumni contact บริษัทที่ทำวานเพื่อพานักศึกษาไปเยี่ยมชมบริษัทและได้ฟังสัมพาทอย่างไกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นกับทาง Alumni เองและ Supervisor ของ Alumni ที่บริษัท. พูดถึง Entrepreneurship, ที่มหาลัยจะมี Entrepreneurship Center For Business School เป็นที่ที่จะให้ Start up ต่างๆมาปรึกษาโดยตรงกับไม่ว่าจะเป็น อาจารย์. หรือแม้กระทั้งรุ่นพี่ Start up โดยตรง
- ด้านอาหารการกินไม่ค่อยเป็นห่วงมากเพราะส่วนตัวเป็นคนกินง่าย และวางแผนที่จะทำอาหารกินเองที่ห้องโดยจะซื้อ Ingredients ต่างๆเองเลยจะช่วยลดรายจ่ายไปได้ค่อนข้างเยอะ ส่วนที่มหาลัย Canteen ค่อนข้างมีอาหารที่หลากหลายทำให้เราสามารถเลือกกินได้โดยไม่เบื่อ
Q7: ไม่ได้เรียนเป็น Top ของห้อง, รู้สึกว่าโปรไฟล์ไม่โดดเด่นควรทำยังไงดี
N’ Friend: ส่วนตัวตอนแรกก็ยังไม่ค่อยชัวกับ Application, และ Background ของตัวเอง ไม่รู้ว่าเราดึงความโดดเด่นออกมาได้ถูกจุดไหม และจะมากพอที่จะเตะตา Committees ไหม.อยากจะแนะนำว่าส่วนตัวแล้วรู้ศึกเห็นได้ชัดว่า Mission To Top U ช่วยดึงศักยภาพ, ช่วยประเมิณเราจากภาพรวมดูว่าเรามีจุดเด่นเป็นอะไรและพยายามทำกิจกรรมที่มันจะ Support และ Add Value ให้ความเด่นของเรามีความน่าสนใจและชัดเจนยิ่งขึ้น