เรียนจบ LLM ทำงานอะไรดี? ฟังเคล็ดลับจากพี่แสตมป์ จบ LLM ที่ Duke Law School กันค่ะ
Q1: พี่แตมแนะนำน้องๆ หน่อยครับ ว่าทำอะไรมาบ้าง?
P’Stamp: สวัสดีครับ พี่ชื่อแตมนะครับ พี่จบปริญญาตรีทั้งกฎหมายและรัฐศาสตร์ มีประสบการณ์ทั้งก่อนและหลังเรียนจบป.ตรี ก่อนเรียนทำองค์กรระหว่างประเทศ ชื่อว่า Asian Law Students’ Association เป็น Vice President มีหน้าที่คือ บินไปหาสมาชิก พูดคุยเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นปัญหาในตอนนั้นและพอเรียนจบก็ไปช่วยงานภาครัฐในหลายๆ หน่วยงาน และทำงานในสมาคมที่เป็น Affiliate หรือว่าอยู่ภายใต้มหาวิทยาลัย Harvard ชื่อว่า สมาคม Digital Asia หลังจากนั้นพอทำงานได้ประมาณ 1 ปี ก็ไปเรียนที่ UK และ Switzerland เป็น Joint Degree ก่อนไปเรียนที่ Duke ครับ พอจบกลับมา ก็มาเปิดธุรกิจ Start Up ด้านการจัดหางานและทำเรื่อง Health Tech ด้วย ระหว่างนั้นก็ทำงานกับสมาคมด้วย ซึ่งก็จะเป็นการสัมมนา คอยให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและเทคโนโลยี หลังจากนั้นเริ่มอยากสอบราชการ เลยเริ่มทำงานราชการที่กระทรวงเกษตร ประมาณ 2 ปี และไปสอบราชการอีกครั้งที่กระทรวงคมนาคม (หน่วยงานเกี่ยวกับการบิน) ทำไปสักพักหนึ่งเลยอยากลองทำงานเอกชนบ้าง เลยมาทำงานกับบริษัท Holding ซึ่งมีบริษัทลูกเป็นบริษัทประกัน ทำให้พี่แตมมีประสบการณ์ทั้งภาครัฐและเอกชน
Q2: ตอนพี่แตมเรียนปี 2 รู้หรือยังว่าอยากทำอะไร?
P’Stamp: ตอนนั้นยังงงๆ ว่าเราอยากรับราชการเหมือนที่บ้านไหม เลยพยายาม Build profile ของตัวเองให้ไปในเชิงของงานราชการ เช่น ตอบปัญหากฎหมายที่ธรรมศาสตร์ทำร่วมกับจุฬาเป็นนิติสัมพันธ์ พูดสุนทรพจน์ จนกระทั่งปี 3-4 ได้ทุนจากธรรมศาสตร์ไปแข่งที่อินโดนีเซีย, ออสเตรีย, อเมริกาและอีกหลายประเทศ ทำให้เรารู้สึกว่าอยากทำอะไรก็ได้ที่เป็นสาธารณะ แต่พอเรียนจบมาก็รู้สึกว่าอยากทำเอกชนด้วย สุดท้ายแล้วก็ต้องโฟกัสให้ได้ว่าที่อยากทำจริงๆ เป็นประมาณไหนอย่างไรครับ
Q3: ตอนฝึกงาน ทำไมถึงไปสมัคร Law firm?
P’Stamp: ด้วยความที่เป็นนักกิจกรรมและตอนนั้นไม่จำเป็นต้องฝึกงานก็ได้ แต่ด้วยความที่ได้ไปเห็นคนต่างประเทศทำงาน Law firm ก็รู้สึกชอบ เลยอยากลองหาที่ฝึกงานและได้ไปฝึกงานด้าน International Intellectual Property (ทรัพย์สินทางปัญญา) ทำให้จุดประกายทางความคิดว่ามีอะไรอีกมากมาย ทำให้อยากต่อยอดทางด้านนี้
Q4: พี่แตมชอบอันไหน ระหว่างการฝึกงานที่ภาคเอกชนและภาครัฐ?
P’Stamp: ตอนนั้นพี่แตมชอบภาคเอกชนมากกว่า แต่ก็อยากทำงานที่เป็นแบบรัฐวิสาหกิจ เพราะมีความมั่นคง ได้เรียนรู้ภาพใหญ่ และได้ช่วยเหลือประเทศ เลยต้องเริ่มเตรียมตัวเพราะอยากจะกลับมาทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ด้วยการเริ่มสร้างโปรไฟล์ตั้งแต่ปี 2 ครับ
Q5: พี่แตมมองว่า ความแตกต่างระหว่างการทำ Law firm กับการทำบริษัทรัฐวิสาหกิจ เป็นอย่างไร?
P’Stamp: ต่างกันมากครับ งานภาครัฐวิสาหกิจ ต้องมีการดีลกับทุกๆ ปัญหาด้านกฎหมายและต้องมีทัศนคติที่ว่า “ทำได้” ให้กับ CEO / MD เวลาที่มีประเด็นทางกฎหมาย ส่วน Law firm ต้องทำตามใจลูกความ แล้วคิดค่าใช้จ่าย ดังนั้นการทำงานกับภาครัฐวิสาหกิจ ฝ่ายกฎหมายเปรียบเสมือนฝ่ายสนับสนุน คอยหาทางแก้เมื่อมีปัญหา แต่ถ้าเป็น Law firm ฝ่ายกฎหมายคือทุกอย่าง ให้บริการ ให้คำแนะนำและหาทางแก้
Q6: พอจบธรรมศาสตร์แล้ว พี่แตมทำอะไรต่อ?
P’Stamp: พอจบธรรมศาสตร์แล้วก็มาทำงานสมาคมที่เป็นเอกชน แต่เป็นเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรโดยมหาวิทยาลัย Harvard ทำให้ได้เปิดโลกทัศน์ ได้จัดกิจกรรม ได้เจอผู้คนจากหลากหลายสาขาอาชีพ ทำให้รู้สึกว่าชอบทำงานเอกชน เลยทำให้อยากไปเรียนต่อ โดยเริ่มสมัครมหาวิทยาลัยแรกที่ UK และไปเรียนด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศครับ
Q7: เอกชนแบบ Non-profit ต่างกับเอกชนแบบ Law firm ไหมครับ?
P’Stamp: ต่างกันครับ สมาคมได้เงินมาจากการบริจาคและเก็บค่าบริการ ซึ่งเคยไปเข้าร่วมกับหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งจากต่างประเทศและจัด Event ทางวิชาการและมาหาวิธีแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งสิ่งที่ได้คือ ได้ผลลัพธ์ทางวิชาการค่อนข้างเยอะ เช่น การพูดถึงเรื่อง AI ทำยังไงให้ประเทศไทยเป็น 4.0 ได้อย่างแท้จริง
Q8: ตอนจบจาก Duke พี่แตมคิดอย่างไรถึงกลับมาทำ Start Up ของตัวเอง?
P’Stamp: เนื่องจากตอนแรกอยากได้งานที่นิวยอร์ก (ก่อนที่จะเรียนจบ Top U มหาวิทยาลัยจะมีการเตรียมพร้อมให้กับนักศึกษา ซึ่งที่ Duke จะถามเลยว่า จบแล้วอยากทำอะไร อยากสอบเนติที่อเมริกาไหม ถ้าอยากทางมหาวิทยาลัยก็มีคนที่จะมาติวให้ด้วย ซึ่งถ้าสนใจก็ไปเข้าร่วมได้ ซึ่งถ้าเรียนเนติที่อเมริกาหรือ BAR แต่ละรัฐก็จะมีกฎหมายเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่คนไทยจะนิยมสอบ 2 BAR เช่น New York BAR – เป็นเนติบัณฑิตของนิวยอร์ก, Cal BAR – เป็นเนติบัณฑิตของแคลิฟอร์เนียร์ ซึ่งถ้าสอบก็จะฝึกได้แค่ในรัฐนั้นๆ และในตอนแรกได้รับเสนองานมาแล้ว) แต่ด้วยความที่พี่แตมมีธุรกิจครอบครัวอยู่แล้ว เลยอยากกลับมาช่วยงานที่บ้านก่อน ทำให้จัดสรรเวลาได้บ้างและด้วยความที่พี่แตมเคยเรียนด้าน Tech มาก่อน เลยอยากจะสร้างสรรค์บางอย่างขึ้นมา และด้วยความที่กระแส Start Up แรงมาก จึงรวบรวมเพื่อนๆ มาสร้างธุรกิจจัดหางานด้วยกัน
Q9: เพราะอะไรพี่แตมถึงเปลี่ยนจาก Entrepreneur ไปทำงานภาครัฐ?
P’Stamp: ตอนทำ Start Up ช่วงนั้นยังติดเรื่องกฎระเบียบด้าน Ecosystem กับ Infrastructure แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะสามารถระดมทุนได้แล้ว และตอนนั้นธุรกิจทางครอบครัวเริ่มอยู่ตัว เลยอยากลองมาทำงานฝั่งราชการที่เป็นผู้ควบคุมดูบ้าง จึงไปสอบราชการและเข้าทำงานที่กระทรวงเกษตร พอทำได้ประมาณ 2 ปี ก็อยากจะเปลี่ยนสายงานเป็นหน่วยงานที่มีความอินเตอร์มากขึ้น เพราะจะได้นำความรู้ที่เรียนมาจากอเมริกา อังกฤษ และสวิตเซอร์แลนด์มาประยุกต์ เลยย้ายไปทำงานที่หน่วยงานระหว่างประเทศภายใต้กระทรวงคมนาคม จึงทราบว่าระบบภาครัฐทำงานอย่างไร
Q10: เนื่องจากพี่แตมทำงานมาหลายที่แล้ว อยากให้ช่วยสรุปข้อดีของการทำงานภาครัฐและภาคเอกชนหน่อยครับ?
P’Stamp: สำหรับข้อดีของการทำงานภาครัฐ ข้อแรกคือเราเข้ากับค่านิยมของสังคม ข้อสองคือมีความมั่นคง ข้อสามคือมองเห็นบริบทของสังคมในภาพรวมมากๆ ในฐานะของผู้คุมกฎ ข้อสี่คือทำให้เข้าใจระบบการทำงานของราชการ ส่วนข้อดีของการทำงานภาคเอกชน ข้อแรกคือรายได้ดี ข้อสองคือได้พัฒนาตัวเองตลอดเวลา ข้อสามคือพัฒนา mindset ให้เป็น Can do Attitude
Q11: พี่แตมมีคำแนะนำให้น้องๆ หาตัวเองให้เจออย่างไรบ้าง ว่าอยากทำอะไรในอนาคต?
P’Stamp: มีอยู่ 2 อย่างครับ อย่างแรกคือหาในห้องเรียน เช่น เวลาน้องเรียนวิชากฎหมายหรือวิชาใดก็ตาม ให้น้องพยายามดูว่าน้องชอบไหม ถ้าน้องชอบตัวหนังสือ ชอบคดี ก็อาจจะตอบโจทย์ และอย่างที่สองคือหานอกห้องเรียน เช่น หากิจกรรมทำ ซึ่งจะทำให้น้องรู้ว่าน้องมีความรู้สึกที่ชอบในงานผู้พิพากษา อัยการหรือทนายความ เพราะแต่ละตำแหน่งมีบทบาทต่างกัน ผู้พิพากษาต้องสุขุม อัยการต้องก้าวร้าวในช่วงเวลาสืบพยาน ส่วนทนายความใน Law firm ต้องมีมาด มีจุดขาย หางานเป็น เพื่อจะได้ขึ้นเป็น Partner มีตำแหน่งที่สูงๆ ในบริษัท